มีไม่พอ
ระหว่างทางจากโบสถ์กลับบ้าน ลูกสาวฉันนั่งกินขนมกรุบกรอบรูปปลาอยู่เบาะหลังอย่างมีความสุขและลูกคนอื่นๆ ของฉันขอร้องให้เธอแบ่งให้บ้าง ฉันพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยจึงถามเจ้าของขนมว่า “วันนี้ทำอะไรในห้องเรียนบ้าง” เธอเล่าว่าทำตะกร้าใส่ขนมปังกับปลาเพราะเด็กคนหนึ่งเอาขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวให้พระเยซูเลี้ยงคนมากกว่าห้าพันคน (ยน.6:1-13)
กล้าที่จะสัตย์ซื่อ
ความกลัวอยู่กับฮาดัสสาห์เสมอ ฮาดัสสาห์ซึ่งเป็นตัวละครในนิยายเรื่องเสียงในสายลมของฟรานซีน ริเวอร์ส เป็นหญิงสาวชาวยิวสมัยศตวรรษแรก หลังจากตกเป็นทาสในบ้านชาวโรมัน เธอกลัวว่าจะถูกข่มเหงเพราะความเชื่อ เธอรู้ว่าคริสเตียนถูกรังเกียจและหลายคนถูกฆ่าตายหรือถูกปล่อยให้สู้กับสิงโตในสนามกีฬา เธอจะกล้ายืนหยัดเพื่อความจริงเมื่อถูกทดสอบหรือไม่
หนีไปสู่ความเข้มแข็ง
"รับดาบสี่!”
รักทุกคน
คริสตจักรที่ผมไปนมัสการตั้งอยู่บนที่โล่งกลางแจ้งขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสิ่งที่หายากบนเกาะสิงคโปร์ (มีเนื้อที่กว้างเพียง 24 กม.และยาว 40 กม.) ก่อนหน้านี้ทุกวันอาทิตย์จะมีชาวต่างชาติที่มาทำงานในสิงคโปร์มารวมกลุ่มปิคนิคกันในบริเวณโบสถ์
ไปตามที่ทรงนำ
ตอนเป็นเด็ก ฉันตั้งตารอการนมัสการรอบเย็นวันอาทิตย์เพราะน่าตื่นเต้น เย็นวันอาทิตย์มักเป็นวันที่มีมิชชันนารีหรือนักเทศน์รับเชิญมาพูด คำพยานของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับฉันเพราะพวกเขาเต็มใจจากครอบครัวและเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ทิ้งบ้านทรัพย์สินสิ่งของ หน้าที่การงาน เพื่อไปยังสถานที่แปลกใหม่ ไม่คุ้นเคยและบางครั้งยังอันตรายเพื่อรับใช้พระเจ้า
กองหน้า
ไม่นานมานี้ เพื่อนคนหนึ่งเตรียมตัวย้ายบ้านไปยังเมืองที่ห่างจากบ้านเกิดกว่า 1,600 กิโลเมตร ในกรอบเวลาสั้นๆ เธอกับสามีแบ่งงานกันทำ เขาจัดการเรื่องที่อยู่ใหม่ ขณะที่เธอเก็บข้าวของ ฉันแปลกใจที่เธอสามารถย้ายไปได้โดยไม่ต้องดูสถานที่ใหม่ก่อน หรือมีส่วนในการหาบ้าน ฉันถามเธอว่าทำได้อย่างไร เธอยอมรับว่าเป็นเรื่องท้าทาย แต่เธอกล่าวว่าเธอรู้ว่าเธอไว้ใจสามีได้ เพราะตลอดหลายปีที่อยู่ด้วยกัน เขาใส่ใจว่าเธอชอบและต้องการอะไร
ถ้วยพระพร
เสียงเตือนอีเมล์เข้าที่ผมคุ้นเคยดึงความสนใจของผม ขณะทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ปกติผมจะพยายามอดใจไม่เปิดอีเมล์ทุกฉบับ แต่หัวข้อนั้นน่าดึงดูดใจมาก นั่นคือ “คุณเป็นพระพร”
จงวางใจเรา
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ฉันได้งานเงินเดือนต่ำ จึงอัตคัตจนบางครั้งไม่พอซื้ออาหารมื้อถัดไป ฉันเรียนรู้ที่จะวางใจพระเจ้าเรื่องการทรงจัดเตรียม
เส้นรอยแยก
ผู้อพยพที่ทะลักเข้ามาในชุมชนของเรา ทำให้คริสตจักรในพื้นที่เติบโตขึ้น การเติบโตนั้นนำมาซึ่งความท้าทาย สมาชิกคริสตจักรต้องเรียนรู้การต้อนรับคนใหม่ที่ปรับตัวกับวัฒนธรรมที่ไม่คุ้น ภาษาใหม่ และรูปแบบการนมัสการที่แตกต่าง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ อาจก่อให้เกิดสถานการณ์ที่น่าอึดอัด
การเข้าใจผิดและความไม่ลงรอยกันเกิดขึ้นทุกที่ที่มีคน คริสตจักรก็ไม่เว้น หากเราไม่จัดการกับความแตกต่างอย่างเหมาะสม ก็อาจนำไปสู่ความแตกแยก
คริสตจักรในยุคแรกในเยรูซาเล็มกำลังเติบโต จนกระทั่งเมื่อเกิดการโต้เถียงเพราะการแบ่งแยกทางวัฒนธรรม ชาวยิวพูดกรีก (พวกนิยมกรีก) ตำหนิชาวยิวที่พูดอารเมค “ในการแจกทานทุกๆ วันนั้น เขาเว้นไม่ได้แจกให้พวกแม่ม่ายชาวกรีก” (กจ.6:1) พวกอัครทูตจึงกล่าวว่า “จงเลือกเจ็ดคนในพวกท่านทีมีชื่อเสียงดีประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา” (ข้อ 3) ทั้งเจ็ดคนที่ได้รับเลือกมีชื่อภาษากรีก (ข้อ 5) เขาเป็นพวกนิยมกรีก เป็นสมาชิกกลุ่มที่ถูกละเลย พวกเขาเข้าใจปัญหาดีที่สุด พวกอัครทูตจึงอธิษฐานและวางมือบนเขาและคริสตจักรได้เจริญขึ้น (ข้อ 6-7)
การเติบโตนำความท้าทายมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องมีการปฏิสัมพันธ์ข้ามธรรมเนียมประเพณีมากขึ้น แต่เมื่อเราแสวงหาการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะพบทางออกที่สร้างสรรค์ คือสิ่งที่น่าจะเป็นปัญหากลับกลายเป็นโอกาสเพื่อให้เติบโตมากขึ้น